ธุรกิจกับการแก้ปัญหาโลกร้อน (ตอนที่ 13)

ธุรกิจกับการแก้ปัญหาโลกร้อน (ตอนที่ 13)

September 14, 20212,608


HIGHLIGHTS :




  • ธุรกิจกับการแก้ปัญหาโลกร้อน (ตอนที่ 13) :  รู้จักกับกลไกการซื้อขายคาร์บอนเครดิต ทั้งในตลาดคาร์บอนภาคบังคับ (Mandatory Market / Compliance Market / Regulated Market)  และในตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจ (Voluntary Market)



เวลาในการอ่าน 5 นาที









บทความชุด “ธุรกิจกับการแก้ปัญหาโลกร้อน”



ตอนที่ 1 : ทำความเข้าใจกับก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมของมนุษย์ ภาวะโลกร้อนและผลกระทบ ตลอดจนข้อมูลคาร์บอนฟุตพริ้นท์ที่จะมาช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับธุรกิจ



ตอนที่ 2 : ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับโลกจากสถาวะโลกร้อน รวมทั้งสรุปสถานการณ์ในมิติสังคมโลกที่กำลังดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน ที่จะช่วย “ชี้เป็นชี้ตาย” ในการต่อสู้กับปัญหาโลกร้อนนี้



ตอนที่ 3 : แผนที่นำทางการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย รวมถึงมาตรการในด้านต่างๆ เพื่อบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก ซึ่งภาคธุรกิจควรได้รับทราบจะได้สามารถวางแผนการดำเนินงานให้สอดคล้องไปได้อย่างเหมาะสม



ตอนที่ 4 : บทสรุปของการใช้พลังงานฟอสซิลที่ทำให้โลกร้อน และในมิติของภาคธุรกิจที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้พลังงานฟอสซิล จะสามารถมีส่วนร่วมในการลดใช้พลังงานฟอสซิล เพื่อความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม ซึ่งจะย้อนกลับมาส่งผลดีต่อมูลค่าและความยั่งยืนขององค์กรในอนาคต



ตอนที่ 5 : การตระหนักถึงผลกระทบจากภาวะโลกร้อน เริ่มได้โดยการเก็บข้อมูลการใช้พลังงานของธุรกิจ เพื่อนำไปวิเคราะห์วางแผนในการลดผลกระทบดังกล่าว ถือเป็นการทำธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ ซึ่งจะทำให้เกิดความมั่นใจต่อผู้ที่เกี่ยวข้อง และส่งผลดีต่อการเติบโตและความยั่งยืนขององค์กรในอนาคต



ตอนที่ 6 : รู้จักกับพลังงานทดแทน (Renewable Energy) ประเภทต่างๆ ที่ธุรกิจควรหันมาให้ความสำคัญ และสามารถเลือกนำมาใช้ทดแทนพลังงานฟอสซิลเพื่อลดผลกระทบทางลบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมได้



ตอนที่ 7 : เทรนด์ใหม่ๆ เกี่ยวกับพลังงานหมุนเวียน ซึ่งมีพัฒนาการที่ดีขึ้นเรื่อยๆ อันเนื่องมาจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ในปัจจุบัน และพลังงานหมุนเวียนกับเป้าหมายการลดโลกร้อนของไทย



ตอนที่ 8 : สรุปเนื้อหาสำคัญเกี่ยวกับแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก ของกระทรวงพลังงาน



ตอนที่ 9 : ศักยภาพวัตถุดิบพลังงานทดแทนในประเทศ ทั้งในส่วนที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน เช่น ชีวมวล ขยะ ก๊าซชีวภาพ ไบโอดีเซล ไบโอเอทานอล รวมถึงพลังงานทดแทนในรูปแบบใหม่ๆ อย่างไม้โตเร็ว



ตอนที่ 10 : แนวทางการพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก ที่จะก่อให้เกิดประโยชน์โดยรวมต่อประเทศชาติในหลายมิติ



ตอนที่ 11 : รู้จักกับ “คาร์บอนเครดิต (Carbon Credit)” ถึงความหมายและความสำคัญ ตลอดจนการนำมาสู่ ตลาดคาร์บอนเครดิต ซึ่งกำลังพัฒนาในประเทศไทย และจะเป็นกลไกสำคัญที่สามารถช่วยแก้ปัญหาโลกร้อนได้



ตอนที่ 12 :  เข้าใจประเด็นทางเศรษฐศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับ “คาร์บอนเครดิต (Carbon Credit)  รวมถึงรู้จักกับวิธีการซื้อขายคาร์บอนเครดิตในลักษณะของ Carbon Emission Trading Schemes (ETS) ซึ่งเป็นที่นิยมกันในยุโรปและอีกหลายประเทศ



ตอนที่ 13 :  รู้จักกับกลไกการซื้อขายคาร์บอนเครดิต ทั้งในตลาดคาร์บอนภาคบังคับ (Mandatory Market / Compliance Market / Regulated Market)  และในตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจ (Voluntary Market)



ตอนที่ 14 : รู้จักกับ Cap and Trade กลไกที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายในตลาดคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit Market) รวมถึงรู้จักกับกฎหมายที่เกี่ยวกับ Cap and Trade ในสหรัฐอเมริกา



ตอนที่ 15 :  เงื่อนไขสำคัญของการเข้าซื้อขาย Carbon Credits ระหว่างประเทศ และพัฒนาการด้าน Cap and Trade ในประเทศออสเตรเลียและแคนนาดา



ตอนที่ 16 : พัฒนาการเกี่ยวกับ Carbon Emission และ Carbon Credits ในประเทศจีน นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น รวมถึงในกลุ่มสหภาพยุโรป



สำหรับบทความในตอนนี้จะกล่าวถึงตลาดคาร์บอนเครดิตเพิ่มเติม โดยอาศัยเนื้อหาที่อ้างอิงจาก Wikipedia และจาก www.environnet.in.th เป็นหลัก



1. การค้าขายแลกเปลี่ยนก๊าซเรือนกระจก



จากบทความเรื่อง การค้าขายแลกเปลียนก๊าซเรือนกระจก (Emission Trading หรือ Cap and trade) ของ Wikipedia อธิบายว่าเป็นวิธีการประการหนึ่งที่จะให้แรงจูงใจทางการเงิน เพื่อให้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยใช้การพัฒนาโครงการคาร์บอนขึ้นมาใช้ลดก๊าซเรือนกระจก และให้การตอบแทนเป็นคาร์บอนเครดิต ซึ่งนำไปซื้อขายแลกเปลี่ยนได้ พิธีสารเกียวโตได้ให้ช่องทางนี้ไว้เพื่อลดคาร์บอนแล้วขาย (Cap and trade) ในกลไกการพัฒนาที่สะอาด (Clean Development Mechanism: CDM) รวมทั้งการทำ Joint Implementation (JI) เป็นต้น เพื่อให้มีการยืดหยุ่นในการจัดการกับคาร์บอน



ในการซื้อขายนี้ เริ่มต้นจากผู้มีอำนาจหน้าที่ซึ่งโดยมากจะเป็นรัฐบาล จะกำหนดจุดสูงสุด (Cap) ที่อนุญาตให้ปล่อยคาร์บอนได้ แต่ละองค์กรก็จะได้สิทธิที่จะสามารถปล่อยได้ในจำนวนหนึ่ง องค์กรที่ปล่อยคาร์บอนเกินจุดที่กำหนด จึงต้องไปซื้อสิทธิมาจากองค์กรที่ปล่อยไม่ถึงสิทธิของตนนั้น ถ้าปล่อยเกินโดยไม่ซื้อจะได้รับการลงโทษอย่างรุนแรง ตัวอย่างเช่น โรงงานแห่งหนึ่งก่อนเริ่มโครงการเคยปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ 100,000 ตันต่อปี เมื่อเข้าโครงการโดยพันธะทางกฎหมายและสมัครใจ จะต้องลดการปล่อยลง 5% คือสามารถปล่อยได้ 95,000 ตันต่อปี ถ้าทำได้สามารถนำส่วนที่ลดได้ไปขายได้แต่ถ้าลดไม่ได้ต้องเสียเงินไปซื้อส่วนที่เกินไปจากผู้ที่ลดได้



2. ตลาดคาร์บอนภาคบังคับ (Mandatory Market / Compliance Market / Regulated Market)



จากบทความเรื่อง ตลาดคาร์บอนของ www.environnet.in.th สรุปไว้ว่า ตลาดคาร์บอนภาคบังคับหรือ ตลาดคาร์บอนตามพันธกรณีระหว่างประเทศ คือ ตลาดคาร์บอนที่จัดตั้งขึ้น สืบเนื่องจากผลบังคับในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามกฎหมายซึ่งต้องมีรัฐบาลเข้ามาเกี่ยวข้องในฐานะผู้ออกกฎหมายและเป็นผู้กำกับดูแลปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยที่ผู้เข้าร่วมในตลาดจะต้องมีเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่มีผลผูกพันตามกฏหมาย (Legally binding target)



ตลาดคาร์บอนภาคบังคับจะใช้การกำหนดเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในลักษณะ Top-down approach (การกำหนดเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยภาครัฐ และให้เอกชนเป็นผู้ปฎิบัติตาม) ซึ่งตลาดภาคบังคับจะมีความเกี่ยวข้องกับการซื้อขายคาร์บอนตามพันธกรณีของพิธีสารเกียวโต โดยการค้าคาร์บอนเครดิตที่เกี่ยวกับประเทศไทยคือ การค้า CERs (ซึ่งจะได้อธิบายต่อไป) 



ลักษณะกลไกที่ใช้ในตลาดคาร์บอนภาคบังคับได้แก่



การดำเนินโครงการลดก๊าซเรือนกระจกร่วมกัน (Joint Implementation: JI)



เป็นโครงการที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างประเทศที่มีพันธกรณีต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกค่อนข้างต่ำ (ประเทศในภาคผนวก1*) ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดลงของโครงการ JI จะเรียกว่า Emission Reduction Units (ERUs) ซึ่งมีค่าเท่ากับ 1 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า



กลไกการพัฒนาที่สะอาด (Clean Development Mechanism: CDM)



กลไก CDM นี้มีลักษณะเดียวกับโครงการแบบ JI เพียงแต่ประเทศที่ทำโครงการต้องเป็นประเทศนอกภาคผนวก1 และเป็นผู้เสนอว่าโครงการจะสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้เป็นจำนวนเท่าใด CDM เป็นกลไกเพื่อช่วยให้ประเทศอุตสาหกรรมซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มภาคผนวกที่ 1 สามารถบรรลุพันธกรณีในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยซื้อคาร์บอนเครดิตที่ได้จากการทำโครงการ CDM ในประเทศกลุ่มนอกภาคผนวกที่ 1 ซึ่งเรียกว่า Certified Emission Reduction หรือ CERs เพื่อนำไปหักลบปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศ



CERs จึงเป็นปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่โครงการ CDM สามารถลดได้ และได้การรับรองจากคณะกรรมการบริหารโครงการกลไกการพัฒนาที่สะอาด (CDM Executive Board หรือ CDM EB)



การซื้อขายก๊าซเรือนกระจกระหว่างประเทศ (Emission Trading: ET) เป็นกลไกที่เอื้อให้เกิดการซื้อขายก๊าซเรือนกระจกที่ได้รับจัดสรรระหว่างประเทศในกลุ่มภาคผนวกที่ 1 เนื่องจากประเทศต่างๆ ในกลุ่มนี้มีพันธกรณีในการลดก๊าซเรือนกระจกภายในประเทศแตกต่างกัน ประเทศที่ไม่สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ตามพันธกรณี สามารถเข้าสู่กลไก ET เพื่อซื้อ CERs และ ERUs ได้ นอกจากนี้ประเทศหรือกลุ่มของประเทศเหล่านี้ก็สามารถพัฒนาโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับท้องถิ่นของตนเองได้ เพื่อให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นไปตามเป้าหมายของประเทศ การซื้อ CERs และ ERUs ผ่านกลไก ET สามารถซื้อเพื่อครอบคลุมปริมาณการปล่อยก๊าซบางส่วนหรือทั้งหมดได้



3. ตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจ (Voluntary Market)



คือตลาดคาร์บอนที่ถูกสร้างขึ้นโดยไม่ได้มีกฎหมายที่เกี่ยวกับการควบคุมก๊าซเรือนกระจกมาบังคับ การจัดตั้งตลาดเกิดความร่วมมือกันของผู้ประกอบการในภาคเอกชน ผู้ที่เข้าร่วมซื้อขายในตลาดนั้นจะยินดีเข้าร่วมด้วยความสมัครใจ โดยอาจจะมีการตั้งเป้าหมายในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของตนเองโดยสมัครใจ (Voluntary Cap-and-trade) แต่จะไม่ได้มีผลผูกพันตามกฎหมาย (Non-legally binding target) ซึ่งอาจซื้อขายผ่านกลไกตลาดที่ตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ หรือซื้อขายแบบ Over-the counter market ซึ่งไม่มีระบบการซื้อขายแลกเปลี่ยนที่ชัดเจน มีเพียงการตกลงกันระหว่างผู้ต้องการซื้อและผู้ขาย ซึ่งทำให้มีต้นทุนในการจัดการต่ำกว่า และดำเนินการได้ง่ายกว่า



4. Cap and Trade



การเกิดขึ้นของ ระบบการซื้อขายใบอนุญาตปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission Trading Scheme : ETS) เป็นเครื่องมือหนึ่งที่ใช้ “แรงจูงใจทางการเงิน” ในการส่งเสริมให้ผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายใหญ่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเริ่มจาก “เจ้าของระบบ” (ส่วนใหญ่เป็นภาครัฐ) กำหนดระดับเพดานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเมื่อเทียบกับปีฐาน (หรือที่เรียกว่า Cap Setting) ให้กับอุตสาหกรรมที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง หลังจากนั้นรัฐบาจะจัดสรรใบอนุญาตปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือที่เรียกว่า “Allowance Allocation” ให้กับโรงงาน / องค์กรต่างๆ ที่อยู่ในระบบเพื่อจำกัดเพดานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของแต่ละโรงงาน / องค์กร โดยแต่ละโรงงาน / องค์กร จะไม่สามารถปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้เกินกว่าระดับ Cap ที่กำหนดไว้ในแต่ละปี และต้องรายงานผลการตรวจวัดปริมาณการปล่อยที่ผ่านการทวนสอบ (Verification) ให้กับรัฐทุกปี



จากนั้นโรงงาน / องค์กรต่างๆ ต้อง “คืน” (หรือที่เรียกว่า Surrender) ใบอนุญาตปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ได้รับจัดสรรมาจากรัฐบาลตามปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมา (ตามที่รายงานทุกสิ้นปี) ซึ่งหากโรงงาน / องค์กรต่างๆ ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่าใบอนุญาตปล่อยก๊าซที่ได้รับจัดสรร ก็ต้องทำการซื้อใบอนุญาตฯ จากโรงงาน / องค์กรอื่นๆ ภายใต้ระบบเดียวกัน หรือมีอีกทางเลือกหนึ่งก็คือ อาจซื้อคาร์บอนเครดิตจากโครงการลดก๊าซเรือนกระจกตามมาตราฐานต่างๆ ที่ระบบ ETS นั้นๆ ยอมรับให้นำมาใช้แทนใบอนุญาตฯ เพื่อเป็นการชดเชยปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ตนเองปล่อยเกินกว่าใบอนุญาตฯ ที่ตนได้รับจัดสรรมา ในทางกลับกัน หากโรงงาน / องค์กร ปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่าที่กำหนดไว้ในใบอนุญาตฯ ก็สามารถเก็บสะสม (Banking) ใบอนุญาตปล่อยก๊าซเรือนกระจกไว้สำหรับปีถัดไปได้ หรือจะขายให้แก่โรงงาน / องค์กรอื่นก็ได้ ทั้งนี้ราคาซื้อขายใบอนุญาตฯ นี้จะผันแปรขึ้นกับอุปสงค์และอุปทานในขณะนั้น



* ประเทศในภาคผนวก 1 ได้แก่ ประเทศบูลกาเรีย โครเอเทีย สาธารณรัฐเชค เอสโทเนีย ฮังการี แลตเวีย ลิทูเอเนีย โปแลนด์ รัสเซีย สโลเวเนีย และยูเครน





เขียนโดย : ดร.กฤษฎา เสกตระกูล, CFP®   



รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานพัฒนาความยั่งยืนตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย


แบ่งปัน :

คุณอาจจะสนใจ